ตำนานโหราศาสตร์
เรามีหลักฐานบางอย่างที่อยู่ในยุคสมัยของอัคคาเดียน ประมาณ 2300 ปีก่อนคริสตกาล และนี่ก็เป็นหลักฐานส่วนหนึ่งที่ค้นพบในดินแดนแห่งนั้น ........ถ้าดาวศุกร์ปรากฎขึ้นทางทิศตะวันออก และฝาแฝดคู่ใหญ่กับคู่เล็กมาล้อมรอบตัวเธอ, ทั้งสี่ดวง แล้วหล่อนจะรู้สึกถึงความเศร้าโศก ต่อมา พระราชาของชาว Elam จะล้มป่วยลง และไม่มีทางฟื้นขึ้นมาอีก......... ชาวอีแลม(Elam)เป็นชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในทิศตะวันออกของดินแดนเมโสโปเตเมียในสมัยนั้น แต่ในข้อมูลที่เกี่ยวกับดาวศุกร์ส่วนใหญ่จะอยู่ในรัชสมัยของพระเจ้า Ammizaduga (พระองค์ปกครองต่อจากพระเจ้าฮัมมูราบี) ซึ่งจะประกอบไปด้วยการสังเกตลักษณะของดาวศุกร์ ผนวกเข้ากับคำทำนายที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญๆในอดีต ชาวเมโสโปเตเมียได้บันทึกลักษณะของดาวศุกร์แบบไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของดาว พวกเขาเชื่อว่าดาวฤกษ์กับดาวเคราะห์มีความสัมพันธ์ต่อกัน อย่างในข้อเท็จจริงที่ว่า ดาวเหล่านี้คือพระเจ้า เทพเจ้าวีนัสเป็นหนึ่งในเทพที่มีความสำคัญต่อชาวเมโสโปเตเมียเป็นอย่างมาก ในขณะที่ชาวโบราณคนอื่นๆก็มีความคิดที่คล้ายๆกันด้วย ชาวอียิปต์ต่างก็รู้จักกลุ่มดาว Orion กับ Osiris เป็นอย่างดี แต่ Osiris เป็นเทพเจ้าแห่งความตายที่ปกครองอยู่ใต้โลก ดูเหมือนว่าชาวเมโสโปเตเมียจะมีความเชื่อว่าดวงดาวและดาวเคราะห์ต่างๆนั้นเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงเหตุการณ์ในตอนนี้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กว่าหลายศตวรรษมาแล้วที่ชาวบาบิโลเนียนได้สังเกตการณ์และบันทึกปรากฏการณ์ต่างๆของดาว โดยเฉพาะการโคจรที่กลับมาสู่ที่เดิมอีกครั้งหนึ่งของดาวเคราะห์ต่างๆ พวกเขายังสามารถกะประมาณตำแหน่งของดวงดาวที่จะโคจรต่อไปได้ในอนาคตได้อย่างแม่นยำ
ประวัติศาสตร์คลาสสิคของโหราศาสตร์ภารตะ โหราศาสตร์ภารตะมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และกล่าวได้ว่าเป็นรากฐานของ โหราศาสตร์หลากหลายแขนงรวมถึงโหราศาสตร์ไทยแต่ถึงกระนั้นไม่มีใครทราบได้แน่ชัดว่าโหราศาสตร์ภารตะถือกำเนิดขึ้นเมื่อใด และใครเป็นผู้คิดค้นขึ้นเป็นคนแรก ตามตำนานของชาวฮินดู พระศิวะเป็นผู้สอนวิชาโหราศาตร์ให้แก่พระชายาของพระองค์คือ พระนางปารวตี และพระนางก็ถ่ายทอดต่อแก่พระโอรส คือพระพิฆเนศ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเทพแห่งวิชาโหราศาสตร์
อีกตำนานหนึ่ง กล่าวว่า พระพรหม เป็นผู้ถ่ายทอดวิชานี้ ให้แก่พระโอรสคือพระสุริยเทพ ซึ่งได้ถ่ายทอดต่อให้แก่บรรดาฤาษีต่างๆ ยังมีอีกตำนานที่ระบุว่า พระพรหม ได้สอนวิชานี้แก่พระโอรสอีกองค์หนึ่งคือ พระนราธ ซึ่งท่านได้ถ่านทอดต่อให้แก่ศิษย์คือปราชญ์สวนาคะซึ่งได้สอนวิชานี้แก่ลูกศิษย์ต่อมาก็คือ มหาฤาษีปะระสาระ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโหราศาสตร์
ในยุคอินเดียโบราณมีคัมภีร์ในศาสตร์ด้านต่างๆ ไม่น้อยที่ถูกอ้างว่ารจนาโดยพระศิวะ พระสุริยะ และพระจันทรา
พระนราธ ปราชญ์สวนาคะ มหาฤาษีวสิษฐะ เป็นรายชื่อที่ได้รับการระบุว่าเป็นผู้รจนาคัมภีร์โหราศาสตร์เป็นกลุ่มแรกๆ ในชมภูทวีปแต่คัมภีร์เหล่านั้นเขียนเป็นลักษณะคัมภีร์คำสวดทางศาสนาซึ่งค่อนข้างสั้น ไม่มีคำอรรถาธิบายใดๆ และไม่มีใครรู้ว่าเขียนมาตั้งแต่เมื่อใด แต่หลักวิชาทางโหราศาสตร์ภารตะที่มีการรวบรวมและถ่ายทอดอย่างเป็นระบบครั้งแรกถือกำเนืดขึ้นราว 3200 ปี ก่อนคริสตกาลตามการคำนวนของปราชญ์อินเดียซึ่งเป็นยุคก่อนยุคมหาภารตะเล็กน้อย
ผลงานอันเอกอุชิ้นแรกที่เกิดขึ้นเป็นอนุสาวรีย์แห่งโหราศาสตร์ภารตะ ได้แก่ พฤหัส ปะระสาระ (Brihat Parashara Hora Sastra) โดย มหาฤาษีปะระสาระ ตามตำนานมหาฤาษีปะระสาระ เป็นหลานของมหาฤาษีวสิษฐะ และมหาฤาษีปะระสาระนี้เองต่อมาเป็นบิดาของปราชญ์ในตำนานอันยิ่งใหญ่ของภารตะ คือมหาฤาษีเวธะ วยาสะ ผู้รจนา 18 ปุราณะคัมภีร์ อันเป็นคัมภีร์ทางศาสนาอันสำคัญยิ่งของฮินดู รวมถึงงานเขียนอันเป็นรากฐานของศาสนาฮินดูได้แก่ มหาภารตะ ภควคีตา พรหมสูตร และอุตรมิมางศะ
ความลึกซึ้งขององค์ความรู้ทางโหราศาสตร์ของมหาฤาษีปะระสาระ นั้นว่ากันว่าสุดหยั่งคาด ตำนานเล่าว่าคืนหนึ่งขณะที่ท่านลงเรือข้ามแม่น้ำ ท่านสังเกตุเห็นดาวบนท้องฟ้าดวงหนึ่งขึ้นเปล่งประกายสว่างไสว และเป็นดาวที่ให้คุณพิเศษในดวงชะตามนุษย์ ท่านหยั่งรู้ได้ทันที่ว่าเด็กที่เกิดในช่วงเวลาที่ดาวนี่เปล่งประกายจะเป็นผู้รู้ศาสตร์วิชาอันยิ่งใหญ่ ท่านจึงเล่าให้หญิงคนหนึ่งที่นั่งมาในเรือฟังและขอหญิงคนนั้นแต่งงานซึ่งหญิงนั้นยอมและทั้งสองได้ถือกำเนิดบุตรในคืนนั้นซึ่งก็คือ มหาฤาษีเวธะ วยาสะ นั่นเอง
อีกตำนานหนึ่ง กล่าวว่า มหาฤาษีปะระสาระเห็นดาวที่ให้คุณวิเศษขึ้นบนท้องฟ้า ก็กล่าวกับผู้ใกล้ชิดว่าจะมีผู้มีบุญญาธิการเป็นถึงศาสดาถือกำเนิดขึ้น ซึ่งพระเยซูก็ถือกำเนิดขึ้นในคืนนั้นเอง (ตำนานนี้ไม่น่าเชื่อถือ เมื่อพิจารณาจากช่วงเวลา-sonus) คัมภีร์พฤหัสปะระสาระ โหราศาสตร์ เป็นคัมภีร์ที่รจนาในรูปแบบปุจฉา-วิสัชนา โดยมาปราชญ์ไมตรียะ เป็นผู้ถามและมหาฤาษี ปะระสาระ เป็นผู้ตอบ ซึ่งเขียนเป็นโศลกสั้นๆ อธิบายหลักการของโหราศาสตร์ภารตะ ที่แม้เวลาผ่านไป 5000 ปี ก็ยังคงเป็นรากฐานอันทรงคุณค่าของวิชาโหราศาสตร์ในปัจจุบัน
อีกตำนานหนึ่ง กล่าวว่า มหาฤาษีปะระสาระเห็นดาวที่ให้คุณวิเศษขึ้นบนท้องฟ้า ก็กล่าวกับผู้ใกล้ชิดว่าจะมีผู้มีบุญญาธิการเป็นถึงศาสดาถือกำเนิดขึ้น ซึ่งพระเยซูก็ถือกำเนิดขึ้นในคืนนั้นเอง (ตำนานนี้ไม่น่าเชื่อถือ เมื่อพิจารณาจากช่วงเวลา-sonus) คัมภีร์พฤหัสปะระสาระ โหราศาสตร์ เป็นคัมภีร์ที่รจนาในรูปแบบปุจฉา-วิสัชนา โดยมาปราชญ์ไมตรียะ เป็นผู้ถามและมหาฤาษี ปะระสาระ เป็นผู้ตอบ ซึ่งเขียนเป็นโศลกสั้นๆ อธิบายหลักการของโหราศาสตร์ภารตะ ที่แม้เวลาผ่านไป 5000 ปี ก็ยังคงเป็นรากฐานอันทรงคุณค่าของวิชาโหราศาสตร์ในปัจจุบัน
ตำนานอันยิ่งใหญ่ยุคต่อมาของของโหราศาสตร์ภารตะถือกำเนิดขึ้นในอีก 2 ชั่วอายุคนต่อมา ไชยมินิสูตร (Jaimini Sutra) โดยท่านมหาฤาษีไชยมินิ ผู้เป็นศิษย์ของมหาฤาษีเวธะ วยาสะ แม้นักโหราศาสตร์จะมีมติว่าระบบโหราศาสตร์ของท่านมหาฤาษีไชยมินิ ค่อนข้างจะแตกต่างจากระบบของมหาฤาษีปะระสาระ แต่ผู้รู้ส่วนหนึ่งก็ลงความเห็นว่า ในความเป็นจริงสิ่งที่ท่านมหาฤาษีไชยมินิรจนาไว้จำนวนมากกล่าวไว้โดยมหาฤาษีปะระสาระไว้ในพฤหัสปะระสาระ โหราศาสตรา แต่เป็นโศลกสั้นๆ ที่ไม่มีรายละเอียด และมหาฤาษีไชยมินิได้ขยายความโศลกเหล่านั้นอย่างสมบูรณ์กลายเป็นโหราศาสตร์ระบบไชยมินิ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรื่อง การกะของเรือนและดาว ซึ่งเดิมมหาฤาษีไชยมินิกำหนดไว้ 7 การกะ แต่ในโหราศาสตร์ยุคต่อมาเพิ่มเป็น 8 การกะ
หลังจากยุคของท่านมหาฤาษีไชยมินิ ก็เกิดช่องว่างแห่งพัฒนาการของโหราศาสตร์ภารตะ อย่างน้อยก็ในการรับรู้ของคนในยุคปัจจุบันหลังจากยุคมหาฤาษีไชยมินิ กว่าจะมีผลงานอันเอกอุของโหราศาสตร์ภารตะกำเนิดขึ้นอีกก็ถึงปี 5th century AD (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะหมายถึงศตวรรษที่ 5 หลังคริสตกาล ถ้าผิดพลาดขออภัย) ผลงานชิ้นโบว์แดงที่ถือกำเนิดขึ้นคือ คัมภีร์พฤหัสชาฎก (Brihat Jataka)
โดยมหาฤาษีวราหมิหิรา ซึ่งเป็นโหราจารย์ผู้มีชื่อเสียงในราชสำนักของวิกรมดิษยะมหาราชา มหาฤาษีวราหมิหิรา ยังเป็นนักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์ยุคโบราณผู้เกรียงไกรซึ่งได้กล่าวถึงเรื่องของ “อยนางศะ” ซึ่งระบุว่ามีค่าเท่ากับ 50.32 ลิบดาเป็นครั้งแรกในผลงานของท่านหลักโหราศาสตร์ของมหาฤาษีวราหมิหรา หรือพฤหัสชาฎก เป็นรากฐานอันสำคัญของโหราศาตร์ภารตะในยุคปัจจุบัน และยังได้ต่อยอดไปยังโหราศาตร์สาขาอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียรวมถึงโหราศาสตร์ไทย นอกจากนี้ บุตรชายของมหาฤาษีวราหมิหิรา คือท่าน ปริธุ ยสาสะ ยังได้รจนาผลงาน ชิ้นสำคัญอีกชิ้นหนึ่งของโหราศาสตร์คือ โหราสาระ (Horasara) ซึ่งบางส่วนเป็นการขยายความและอธิบายรายละเอียดในพฤหัสชาฎก ที่บิดาของท่านรจนาไว้เป็นโศลกสั้นๆ
ผลงานทางโหราศาสตร์ชิ้นสำคัญอีกชิ้นหนึ่งในยุคต่อมาคือ อุตรกาลมะฤต (Uttarakalamitra) ของปราชญ์กาลิทาส ซึ่งอยู่ในยุคราชวงค์ วิกรมดิษยะ อุตรกาลมฤต ได้อธิบายเคล็ดทางโหราศาสตร์เฉพาะอันหลากหลายพร้อมทั้ง มีการยกตัวอย่างดวงชะตามาอธิบายความ (มีฉบับแปลเป็นไทย อ.รัตน์ และ ศิระ นามะสนธิ หาได้ที่หอสมุดแห่งชาติ-sonus)
ต่อมาในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เข้าครอบครองอินเดีย วิชาโหราศาสตร์ภารตะก็ได้รับอิทธิพลของโหราศาสตร์ตะวันตกเข้ามาเป็นส่วนผสม โดยปราชญ์ยวเณศวร ซึ่งเป็นโหราจารย์ในสำนักของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้รจนาคัมภีร์ ยวณชาฎก (Yavana Jataka) และจากจุดนี้เองที่ทำให้นักโหราศาสตร์ตะวันตกบางส่วนอ้างว่า โหราศาสตร์ภารตะหรือโหราศาสตร์ฮินดูนั้น ตกทอดมาจากโหราศาสตร์กรีก หลังจากนั้น ก็มีงานเขียนทางโหราศาสตร์ชิ้นสำคัญออกมาอีกเป็นจำนวนมาก ผลงานที่เรียกได้ว่าเป็นอนุสรณ์แห่งโหราศาสตร์ภารตะเช่น สราวลี (Saravali) โดย กัลยาณวรามะ ในช่วง 10th century AD และในช่วงนี้เอง ที่ท่านภัทโทปาล (AD 966) แห่งแคว้นแคชเมียร์ ได้รจนาผลงานชิ้นสำคัญ คือคำวิจารณ์ พฤหัสชาฎก และ พฤหัสสังหิตา ของมหาฤาษีวราหมิหิรา (พฤหัสชาฎกภาคคำวิจารณ์ท่านภัทโทปาลแปลเป็นไทยโดย อ.ศิระ และ รัตน์ นามะสนธิ หาได้ที่หอสมุดแห่งชาติ แต่มีไม่
ครบทุกบท-sonus)
ต่อมายังมีผลงานทางโหราศาตร์โดยปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของภารตะออกมาอีกจำนวนมาก ในจำนวนนี้ มหูรตะจินดามณี (Muhurta Chintamani) โดย ราม ไทวกยะ เป็นผลงานชิ้นเอกที่ว่าด้วยเรื่องฤกษ์ยามของโหราศาสตร์ภารตะ ซึ่งได้ทำให้การรวมรวมหลักวิชาทางโหราศาสตร์ภารตะมีความครบถ้วนทั้งภาค ฟ้า (ฤกษ์ยาม) และภาคคน (ดวงชะตา) ผลงานชิ้นสำคัญดังกล่าวข้างต้น ล้วนแต่มีรากฐานจากระบบปะระสาระและวราหมิหิราเป็นส่วนใหญ่ แต่โหราศาสตร์ภารตะยังแตกแขนงไปอย่างหลากหลายตามแต่ละภูมิภาค โหราศาสตร์ประเภทหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมทางอินเดียใต้ ซึ่งมีรากฐานจากคัมภีร์รจนาโดยมหาฤาษีภิกขุ เรียกว่า นาดี ชโยติสย (Nadi Jyotish) นอกจากนี้โหราศาสตร์อินเดียในปัจจุบันยังพัฒนาโดยการผสมผสานหลักโหราศาสตร์จากเปอร์เชีย หรืออาหรับเข้ามาประยุกต์ใช้ซึ่งทำให้มีการทำนายอย่างทะมัดทะแมงขึ้นเช่นเรื่องการใช้้้โค้งสุริยาตร์คำนวนดาวอายุจรหรือหลักโหราศาสตร์ที่เรียกว่า Solar Return เป็นต้น ซึ่งหลังจากนั้นโหราศาสตร์ภารตะก็ได้รับการพัฒนาและทำการพิสูจน์ในแง่มุมต่างๆ
อย่างหลากหลายและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ครบทุกบท-sonus)
ต่อมายังมีผลงานทางโหราศาตร์โดยปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของภารตะออกมาอีกจำนวนมาก ในจำนวนนี้ มหูรตะจินดามณี (Muhurta Chintamani) โดย ราม ไทวกยะ เป็นผลงานชิ้นเอกที่ว่าด้วยเรื่องฤกษ์ยามของโหราศาสตร์ภารตะ ซึ่งได้ทำให้การรวมรวมหลักวิชาทางโหราศาสตร์ภารตะมีความครบถ้วนทั้งภาค ฟ้า (ฤกษ์ยาม) และภาคคน (ดวงชะตา) ผลงานชิ้นสำคัญดังกล่าวข้างต้น ล้วนแต่มีรากฐานจากระบบปะระสาระและวราหมิหิราเป็นส่วนใหญ่ แต่โหราศาสตร์ภารตะยังแตกแขนงไปอย่างหลากหลายตามแต่ละภูมิภาค โหราศาสตร์ประเภทหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมทางอินเดียใต้ ซึ่งมีรากฐานจากคัมภีร์รจนาโดยมหาฤาษีภิกขุ เรียกว่า นาดี ชโยติสย (Nadi Jyotish) นอกจากนี้โหราศาสตร์อินเดียในปัจจุบันยังพัฒนาโดยการผสมผสานหลักโหราศาสตร์จากเปอร์เชีย หรืออาหรับเข้ามาประยุกต์ใช้ซึ่งทำให้มีการทำนายอย่างทะมัดทะแมงขึ้นเช่นเรื่องการใช้้้โค้งสุริยาตร์คำนวนดาวอายุจรหรือหลักโหราศาสตร์ที่เรียกว่า Solar Return เป็นต้น ซึ่งหลังจากนั้นโหราศาสตร์ภารตะก็ได้รับการพัฒนาและทำการพิสูจน์ในแง่มุมต่างๆ
อย่างหลากหลายและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน